อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ควรเริ่มเรียนเมื่อไรดี 2
- colorfulenglish
- 13 มี.ค. 2563
- ยาว 1 นาที
ผู้ปกครอง : เด็ก 3 ขวบเรียนในโรงเรียนนานาชาติ แต่พอกลับบ้านพ่อแม่สื่อสารด้วยภาษาไทย เด็กจะเกิดความสบสนหรือไม่ วัยนี้เหมาะหรือไม่ถ้าจะเรียนในโรงเรียนนานาชาติ
ตอบ ไม่เป็นปัญหาสําหรับเด็ก เพราะเด็ก 3 ขวบมีวุฒิภาวะที่จะเรียนภาษาได้แล้วเริ่มใช้ประโยคได้ เด็กอาจเก่งภาษาหนึ่งมากกว่าอีกภาษาหนึ่ง หรือเก่งเท่ากันทั้งสองภาษา คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงเพียงแต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ใช้ภาษาของตนให้ถูกต้องก็แล้วกัน กับข้อคําถามว่าวัยนี้เหมาะจะเรียนโรงเรียนนานาชาติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะให้เรียนเพื่ออะไร ถ้าเป็นเพราะว่าครอบครัวต้องไปต่างประเทศบ่อย หรือมีเจตจํานงค์โดยแท้ว่าต้องการให้ลูกเก่งภาษาที่สองโดยใช้สิ่งแวดล้อมทางภาษาก็อาจให้เขาเรียนได้ แต่ถ้าให้ลูกเรียนเพื่อสนองความต้องการคุณพ่อคุณแม่เพราะรู้สึกเท่ห์ดี ทัดเทียมเพื่อนบ้านไม่ควรให้เรียน เหตุผลเพราะคุณพ่อคุณแม่จะไม่ตระหนักต่อการใช้ภาษาของเด็ก ทําให้เด็กสับสนทางภาษา ไม่มั่นใจตนเอง มีภาพลักษณ์กับตนเองไม่ดี เช่น ไปลุ้นให้เด็กใช้ภาษาต่างประเทศมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยภาษาตนเองทําให้ใช้ภาษาสับสนได้อีกประการหนึ่ง โรงเรียนนานาชาติไม่ใช่โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษแต่โรงเรียนนานาชาติเป็นโรงเรียนที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กต่างชาติต่างวัฒนธรรมที่ต้องมาอาศัยอยู่ ณ ประเทศหนึ่งได้ศึกษา ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่ต่างไปจากตนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางการเรียน ไม่ได้มุ่งให้เรียนภาษาอังกฤษ ดังนั้นการเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติจึงไม่ได้ยืนยันถึงการเรียนรู้ทางภาษาอย่างแท้จริง ความคุ้นเคย ความเคยชิน และความสม่ำเสมอในการใช้ภาษาจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาได้เท่าๆ กับการเรียนในโรงเรียนจริง ถ้าผู้ปกครองต้องการให้เด็กรักภาษา ไม่จําเป็นต้องให้ลูกไปเข้าโรงเรียนนานาชาติที่ต้องเครียดกับการปรับตัวอีกอย่างหนึ่งด้วย เพราะจะมีเด็กหลากหลายชาติ หลายภาษามาเรียนร่วมกัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของพ่อแม่พร้อมที่จะปรับให้เป็นความเพลิดเพลินสําหรับเด็ก
ผู้ปกครอง : สมัยนี้ภาษาอังกฤษมีความจําเป็น ต้องรู้ ฟัง อ่าน เขียน พูด คนไทยพูด ภาษาอังกฤษไม่เก่ง ไม่กล้าพูด เพราะเราไม่คุ้นปากคุ้นหูหรืออาจเป็นเพราะเราเรียนกับครูไทยใช่หรือไม่ สมควรไหมว่า เราควรจ้างฝรั่งมาสอนลูกเสียแต่เล็กเลยจะได้คุ้นกับสําเนียงภาษา
ตอบ : จุดประสงค์ ของการเรียนภาษาทุกภาษา มุ่งที่เขียน อ่าน พูด และสื่อสารได้อย่างเข้าใจถูกต้องเหมือนกัน คิดว่า
แต่การที่เด็กไทยเรียนภาษาที่สองแล้วยังไม่คล่องนั้นเป็นเพราะการจูงใจในการ เรียนมากกว่า ทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎีที่บอกว่าคนเรียนรู้ได้ เช่น บางทฤษฎีบอกว่าถ้าถูกวางเงื่อนไข เช่น ขู่บังคับลงโทษต้องท่องให้ได้ จําให้ได้ถ้าไม่ได้ถูกตี แต่บางทฤษฎีบอกว่าการให้รางวัลจะทําให้คนเรียนรู้ดี บางทฤษฎีเน้น การให้กําลังใจซึ่งหลากทฤษฎีหลากวิธีการ แต่การเรียนภาษาขึ้นอยู่กับบรรยากาศของการเรียนและความคุ้นเคยมากกว่า เพราะการเรียนภาษาเป็นการเรียนที่เกิดโดยธรรมชาติ หากผู้นั้นสนใจการที่เด็กไทยไม่ชอบภาษาอังกฤษ บางคนเขียนได้ อ่านได้ไม่กล้าพูดขาดความมั่นใจเป็น เพราะกลวิธีการสอนภาษาอังกฤษของเราส่วนใหญ่เน้น การท่องจําแบบบังคับไม่ใช่จากอยากทําเอง และครูไม่พยายามทําเรื่องยากให้เป็นง่ายและสนุทรีย์ ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว เด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเรียนรู้ภาษา การสร้างประโยค การบอกความหมายคําที่ถูกต้อง เด็กเรียนรู้ภาษาจากครอบครัวอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถฝึกหัดเขียนได้ตามแบบของตน โดยไม่ต้องเข้าเรียน การเรียนภาษาที่ดีต้องให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีต่อภาษาใหม่ที่เรียน การหัดอ่าน เขียนต้องให้เป็นไปตามความพร้อมของเด็กซึ่งเด็ก 3 ขวบก็เรียนภาษาได้แล้ว การให้ความรัก ความอบอุ่น สร้างความสนใจในการอ่านการเขียน เป็นสิ่งสําคัญ เรียนภาษาจะสนุก ถ้าไมทุกข์กับภาษา การเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยจะดีมาก ไม่จําเป็นต้องให้เจ้าของภาษาสอน สําเนียงภาษาเด็กอาจเรียนรู้และปรับได้เมื่อโตขึ้นเราควรเน้น การสื่อภาษาที่ดีที่สุดมากกว่าพูดภาษาได้สําเนียงเหมือนที่สุด เพราะภาษาที่ 2 ไม่ใช่ภาษาปากของพ่อแม่จึงยากที่จะทําให้เหมือนจริง เว้นแต้อยู่ในบรรยากาศเจ้าของภาษาตั้งแต่แรกเกิด เด็กอาจฝึกได้เมื่อเขาโตขึ้น การสร้างการเรียนรู้ทางภาษา ต้องเริ่มจากการให้เด็กเรียนรู้จากคําที่ใช้พูดในชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะเป็นคําที่เด็กนึกเป็นภาพได้ และเป็นคําคุ้นตา เด็กจะเข้าใจและสร้างกรอบแนวคิดจากคําได้ เช่น dog cat เป็นต้น ถ้าเด็กสามารถเริ่มเรียนภาษาจากสิ่งที่เด็กพูดออกมาได้อย่างเข้าใจ และเห็นภาพในใจเด็กเป็นรูปธรรม เด็กจะพอใจมาก อยากออกเสียง อยากพูด ข้อสําคัญถ้าเด็กพูดไม่ชัดไม่ถูกต้อง อย่าล้อเลียน
การปฏิบัติของผู้ปกครองเพื่อการเรียนภาษาที่ 2 ของเด็ก กระทําได้ดังนี้
1. ใช้ภาษาที่ 2 ผสมผสานไปกับการสนทนาตามปกติอย่างเป็นธรรมชาติโดยให้เด็กเข้าใจ เช่น พาเด็กไปเที่ยวสวนสัตว์ แล้วพูดกับเด็กว่า “หนชูอบดูเสือไหม Do you like to see tiger?” แล้ว
กระตุ้นให้ตอบกลับ ถ้าเด็กไม่ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษแต่ตอบเป็นภาษาไทยว่าชอบ ให้ผู้ปกครองทวนคําศัพท์ที่ต้องการ เช่น tiger แล้วพูด ภาษาไทยตามว่า “เสือใช่ไหม” พร้อมให้กําลังใจด้วยการยิ้ม และแสดงความรักเด็กจะซึมซับและเรียนรู้ศัพท์จากท่านไปแล้ว
2. ใช้ภาษาที่ 2 อย่างสม่ำเสมอโดยผู้ปกครองกําหนดแผนในใจว่าจะให้เด็กรู้อะไรอย่างไร และก้าวหน้า ไปอย่างไรโดยไม่รีบร้อน เพราะท่านสามารถสอนลูกได้ทุกวันและนานกว่าครูในโรงเรียน
3. อ่านภาษาอังกฤษจากหนังสือให้เด็กฟังอยู่เสมอ อาจเป็นหนังสือนิทาน เปิดอ่านพร้อมเด็กแล้วใช้ให้เด็กดู ควรมีภาพประกอบ หากเป็นหนังสือพิมพ์เลือกอ่านเฉพาะหนังสือตัวโตมีภาพประกอบ อย่าอ่านยาวเพราะเด็กจะเบื่อ อ่านสั้นๆเป็นภาษาอังกฤษวันละคํา
4.อย่ากดดันเด็กให้ท่องให้จําเด็กแต่ละคนมีความเฉพาะของตนมีความสนใจสั้นอย่าทําให้ภาษาท่ี2 สำคัญกว่าภาษาแม่จะต้องทำให้ภาษาทั้งสองมีความสำคัญเท่ากัน หรือกำหนดให้ภาษาแม่เป็นอันดับ 1 ภาษาที่ 2 เป็นอันดับรอง ข้อสําคัญการสอนภาษาต้องเน้นการกระตุ้นให้เด็กอยากเรียน อยากรู้ด้วยตัวของเด็กเอง
5. ให้ใช้โอกาสท่ีว่างท่ีสุดในการสอนภาษาเด็ก เช่น ในขณะเดินทางไปโรงเรียน กอ่นนอน หรือ บนโต๊ะอาหารซ่ึ่งเป็นเวลาผ่อนสบายการเรียนรู้ส่ิงใหม่จะง่ายข้ึน ในกรณีท่ีพ่อแม่ไม่สะดวกใจจะสอนภาษาอังกฤษเด็กด้วยตนเอง เนื่องจากไม่ว่าง ไม่ถนัด ไม่คล่อง อาจจําเป็นต้องใช้ครูหรือโรงเรียนช่วย แต่ก็ไม่จําเป็น เพราะเด็กสามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ตามระบบโรงเรียนปกติท่ีทางการกําหนด
Comments